ติดต่อ Email veerapol@blpower.co.th, plecpn@blpower.co.th, thanij@blpower.co.th
สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนส่งผลให้หลายประเทศทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับการลดปริมาณ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดผลกระทบเกิดจากการความแปรปรวนทางสภาพภูมิอากาศ โดยหลายประเทศได้มีมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึง บทลงโทษจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ซึ่งมาตรการทางภาษีเป็นเครื่องมือหนึ่งในทางเศรษฐศาสตร์เพื่อใช้ในการเพิ่มต้นทุนในสินค้าที่ไม่พึง ประสงค์ เพื่อให้ผู้ผลิตลดจำนวนการผลิต หรือเพื่อให้ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าอื่นที่มีราคาถูกกว่า โดยภาษีคาร์บอนถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มต้นทุนในสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้ผู้ผลิตปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง หรือผลิตสินค้าที่มี การปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า ซึ่งกรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางในการนำภาษี คาร์บอนมาใช้ในประเทศไทย
ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) เป็นภาษีที่เก็บจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH4) ไนตรัสออกไซด์ (NO2) หรือก๊าซกลุ่มฟลูโอริเนต
(F-Gases) ที่มีคุณสมบัติทำลายชั้นโอโซน เช่น ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) เป็นต้น โดยฐานภาษี คาร์บอนที่ใช้ในการจัดเก็บมี 2 แบบ คือ
1. จัดเก็บภาษีทางตรงจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตสินค้า เช่น สิงคโปร์ มีการจัดเก็บจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ของโรงงานในอัตรา 5 เหรียญสิงคโปร์ต่อตัน CO2
2. จัดเก็บภาษีทางอ้อมตามการบริโภค เช่น จัดเก็บจากปริมาณการใช้เชื้อเพลิงหรือปริมาณการใช้ไฟฟ้า ที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล อาทิ การเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงอัตรา 6.5 บาทต่อลิตร เป็นต้น
การจัดเก็บภาษีคาร์บอนในต่างประเทศ
ในต่างประเทศ การจัดเก็บภาษีคาร์บอนมีการใช้อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะประเทศในทวีปยุโรปที่ให้ ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ขณะที่ประเทศในทวีปอเมริกาใต้ เอเชีย และแอฟริกา บางประเทศเริ่มมีการนำภาษีคาร์บอนมาบังคับใช้เช่นกัน ปัจจุบันมี 29 ประเทศ ได้ทำการจัดเก็บภาษี คาร์บอนแล้วโดยอัตราภาษีคาร์บอนในต่างประเทศที่มีการจัดเก็บค่อนข้างแตกต่างกัน ตั้งแต่ 0.08 – 137 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน CO2 ซึ่งมีทั้งการจัดเก็บภาษีทางตรงจากการผลิตและจัดเก็บภาษีจากการบริโภค
การจัดเก็บภาษีคาร์บอนทางตรง มักมีการจัดเก็บในทวีปยุโรปซึ่งเป็นการจัดเก็บภาษีให้สอดคล้องกับ มาตรการตลาดคาร์บอนภาคบังคับ (EU-ETS) อุตสาหกรรมใดที่ปฏิบัติตาม EU-ETS จะได้รับการ ยกเว้นภาษีคาร์บอน ขณะที่ประเทศในทวีปเอเชียเริ่มนำภาษีคาร์บอนทางตรงมาใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 โดยสิงคโปร์จัดเก็บภาษีคาร์บอนจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม ขณะที่อินโดนีเซียจัดทำร่างกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีคาร์บอนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินแล้ว
ส่วนการจัดเก็บภาษีคาร์บอนทางอ้อม ส่วนใหญ่เป็นการจัดเก็บจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่นำไปใช้ เป็นพลังงานทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง ยกเว้นประเทศสเปนที่มี การจัดเก็บภาษีเฉพาะการใช้ก๊าซกลุ่มฟลูโอริเนต (F-Gases) เท่านั้น ทั้งนี้ ประเทศอุรุกวัยมีการจัดเก็บ ภาษีคาร์บอนในอัตราสูงสุดที่ 137 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน CO2 ซึ่งเริ่มจัดเก็บเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2022 ที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นมีการจัดเก็บภาษีคาร์บอนจากเชื้อเพลิงในอัตราต่ำที่สุด ที่ 2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน CO2
แนวคิดการจัดเก็บภาษีคาร์บอนในประเทศไทย
กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง เริ่มนำอัตราภาษีที่คำนึงถึงการปล่อยก๊าซ CO2 มาใช้ครั้งแรก ในการปรับปรุงโครงสร้างภาษีรถยนต์ในปี ค.ศ. 2016 โดยรถยนต์ที่มีอัตราการปล่อย CO2 ต่ำ จะจัดเก็บอัตราภาษีต่ำ และอัตราภาษีเพิ่มขึ้นตามปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2 และในปี ค.ศ. 2022 กรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อนำภาษีคาร์บอนมาใช้ ทั้งการจัดเก็บจากสินค้าทางอ้อม และการจัดเก็บโดยตรงจากกระบวนการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมตามมาตรการ EU- CBAM ของสหภาพยุโรป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า การจัดเก็บภาษีคาร์บอนของกรมสรรพสามิตนั้น สามารถทำได้ทั้งจัดเก็บ ภาษีคาร์บอนทางตรงจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต และการจัดเก็บภาษี คาร์บอนทางอ้อมจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โดยจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ผู้ประกอบการ ได้มีการปรับตัว
กรณีจัดเก็บภาษีคาร์บอนทางตรงจากการผลิต จะเริ่มกระบวนการแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากต้องมี การออกแบบกระบวนการตรวจสอบปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยจากกระบวนการผลิต และการ รายงานผลให้กับกรมสรรพสามิต รวมถึงเพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติตาม EU–CBAM และ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศที่อยู่ระหว่างการจัดทำ ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการ ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานและการประกอบกิจการพลังงาน จะต้องรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกให้แก่ภาครัฐ
ทั้งนี้ คาดว่าจะมีโรงงานจำนวน 45,163 แห่ง ที่จะต้องรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานเข้มข้น โดยหมวดหมู่อุตสาหกรรมที่มีปริมาณการใช้ พลังงานสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า เคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี ผลิตภัณฑ์อโลหะ อาหาร และเครื่องดื่ม คาดว่าอัตราภาษีจะอ้างอิงตามราคาคาร์บอนเครดิตในโครงการลดก๊าซเรือนกระจก ภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ซึ่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ในช่วงระหว่าง 20 – 1,874.93 บาทต่อตัน CO2 หรือเทียบเท่า 0.5 – 50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน CO2
ผู้ประกอบการควรเตรียมพร้อมอย่างไร
ผู้ประกอบการควรตรวจวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint) ขององค์กรให้เป็น ประจำ การตรวจวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเป็นบรรทัดฐานใหม่ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งหากเป็นบริษัทจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์จะต้องรายงานปริมาณก๊าซเรือนกระจกในรายงานประจำปี ขณะที่ในปี 2023 สินค้าส่งออกไปยังสหภาพยุโรปในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีการปล่อยก๊าซเรือน กระจกสูง จะต้องมีการรายงาน Carbon Footprint ตามมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป อีกทั้ง สหรัฐฯ ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายเพื่อนำมาตรการ CBAM มาใช้สำหรับสินค้าในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องมีการ รายงาน Carbon footprint ของกระบวนการผลิตสินค้าเช่นเดียวกัน
ดังนั้น ผู้ประกอบการควรหันมาให้ความสำคัญต่อการวางแผนการลงทุนในระยะยาว เพื่อการประหยัด และปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานเป็นพลังงานสะอาด รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตในการลด การปล่อยก๊าซเรือนกระจก สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะได้รับความนิยมมากขึ้น พฤติกรรมของ ผู้บริโภคในยุคใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ตระหนักถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน และหัน มาให้ความสำคัญกับเรื่องของ ESG อย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น หากผู้ประกอบการหันมาผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะเป็นการขยายตลาดไปสู่คนรุ่นใหม่ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เกิดเศรษฐกิจสีเขียว ทั้งนี้ การสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ผู้บริโภค ถึง 97% จากผู้ที่ถูกสำรวจ 475 คน ยินดีที่จะจ่ายซื้อสินค้าและบริการในราคาที่แพงขึ้น สำหรับสินค้าที่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
https://www.salika.co/2022/11/02/thai-factory-and-carbon-tax/